วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเอส-คลาส
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเอส-คลาส (อังกฤษ: Mercedes-Benz SLS-class) หรืออีกชื่อหนึ่ง อย่างเป็นทางการว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเอส เอเอ็มจี (อังกฤษ: Mercedes-Benz SLS AMG) เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราสมรรถนะสูง ( Luxury grand tourer ) พัฒนาโดย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี บริษัททำเครื่องยนต์พิเศษของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ และที่สำคัญ เอสแอลเอส-คลาส ถือเป็นรถคันแรกที่ออกแบบโดย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ทั้งหมด จึงทำให้ คำเป็นทางการจะใช้ว่า "Mercedes-Benz SLS AMG" แทนการใช้คำว่า Class ที่ใช้กับทุกๆรุ่น ของเมอร์เซเดส-เบนซ์[1] รถได้รับการออกแบบไว้เมื่อปี 2007 โดย มาร์ก แฟเทอร์สัน ( Mark Fetherston )
ด้วยลักษณะประตูพิเศษที่เรียกว่า "ประตูปีกนกนางนวล" ( Gull-wing door ) ซึ่งเคยมีการผลิตมาใช้กับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ 300เอสแอล ( Mercedes-Benz 300SL ) มาก่อนแล้ว ในปี 1954 และก็ได้ยกเลิกไป โดยคำว่า "เอสแอลเอส" ย่อมาจาก "Sport Leicht Super" ซึ่งแปลว่า "สปอร์ต เบา ซูเปอร์" รถเอสเแอลเอสทุกคัน ประกอบที่ Sindelfingen ประเทศเยอรมนี[2]
เอสเแอลเอส ได้เผยแพร่ครั้งแรก ในปี 2009 ที่งานแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์ โชว์ และเริ่มจำหน่าย ในช่วงกลางปี 2010 ที่ยุโรป เป็นที่แรก[3] และจำหน่ายในสหรัฐ ในช่วงกลางปี 2011 ในปี 2012 ที่งานปารีส มอเตอร์ โชว์ เมอร์เซเดส เอเอ็มจี ก็ได้นำเสนอ เวอร์ชันไฟฟ้า ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าแทนน้ำมันทั้งหมด ใช้ชื่อว่า "Mercedes-Benz SLS AMG Electric Drive"[4]
Cr. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AA-%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B9%8C_%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA-%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA
แอสตันมาร์ติน วัน-77
แอสตันมาร์ติน วัน-77 (อังกฤษ: Aston Martin One-77 ) คือ รถยนต์นั่งสมรรถนะสูง 2 ประตู 2 ที่นั่ง ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติอังกฤษ แอสตันมาร์ติน เปิดตัวครั้งแรกที่งานปารีส มอเตอร์ โชว์ ปี 2008[1] และเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบในงาน เจนีวา มอเตอร์ โชว์ ปี 2009 ก่อนที่จะเริ่มรถส่งไปยังลูกค้าในปี 2011
วัน-77 ประกอบด้วย คาร์ไฟเบอร์ และอะลูมิเนียมซึ่งทำด้วยมือทั้งหมด เครื่องยนต์ขนาด 7.3 ลิตร (7312 cc) V12 ให้กำลัง 750 hp (560 kW) ใช้ระบบเกียร์ กึ่งอัตโนมัติ (Automated manual transmission) 6 จังหวะ ซึ่งสามารถให้ความเร็วสูงสุดได้ที่ 200 ไมล์/ชม. (320 กม./ชม.) แต่ในตอนทดสอบ ในเดือนธันวาคม ปี 2009 สามารถทำได้ที่ 220.007 ไมล์/ชม. (354.067 กม./ชม.)[2] ส่วนอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำไว้ที่ 3.5 วินาที
วัน-77 ขณะเป็นคอนเซปต์ มีน้ำหนัก 1,500 กิโลกรัม (3,307 lb)[3] แต่เมื่อผลิตมาจริง กลับมีน้ำหนักเพิ่มไปเป็น 1,630 kg (3,594 lb) รถมีฐานล้อยาว 2,791 มม. (109.9 นิ้ว) ความยาวรอบคัน 4,601 มม. (181.1 นิ้ว) กว้าง 2,204 มม. (86.8 นิ้ว) และสูง 1,222 มม. (48.1 นิ้ว) วัน-77 มีอัตราการปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ ที่ 572 กรัม/กม.
รถจำกัดจำนวนเพียง 77 คัน ตามชื่อรุ่น "วัน-77"[4][5] และจำหน่ายในราคาสูงถึง GB£1,150,000[6]นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล "ออกแบบดีที่สุด" จากนิตยสาร ออโต้ เอ็กซ์เพลส (Auto Express) ของประเทศอังกฤษ และยังมีอีกมาก
Cr. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99_%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99-77
นิสสัน แฟร์เลดี้ แซด
นิสสัน แซด (อังกฤษ: Nissan Z-car) หรือที่อาจรู้จักกันในชื่อของญี่ปุ่นว่า แฟร์เลดี้ เป็นรถยนต์นั่งสมรรถนะสูง ขับเคลื่อนล้อหลัง หรือ FR ใช้เครื่องยนต์บล็อก วี 6สูบ (V6) แบบไม่มีเทอร์โบ (เอ็น เอ) รถรุ่นนี้นิยมใช้แข่งรายการต่างๆ โดยเฉพาะดริฟท์ เนื่องจากเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง และมีสมรรถนะที่เหมาะสมกับการดริฟท์
พ.ศ. 2503 ยูทากะ คาตายามา พนักงานบริษัทนิสสัน ได้เดินทางออกจากญี่ปุ่น ไปสำรวจตลาดในภาคพื้นตะวันตก ในสหรัฐอเมริกา เขาพบว่า รถญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้น ชาวอเมริกันประเมินค่าเป็นเพียงรถยนต์ชั้น 2 เท่านั้น (3 ผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ในอเมริกาขณะนั้น (Big 3) ได้แก่ GM, Ford และ ไครส์เลอร์) แม้บริษัทนิสสันอเมริกาจะถูกตั้งขึ้นในปีเดียวกัน ในช่วงแรกที่ยังไม่มีงบประมาณพอจะตั้งโชว์รูม ต้องหาตัวแทนจำหน่าย แต่ไม่สามารถหาได้ กลุ่ม Big3 และนักธุรกิจรายใหญ่ ปฏิเสธและดูถูกนิสสันอย่างเย็นชา จนต้องใช้เตนท์รถมือสองเป็นตัวแทนจำหน่าย คาตายามา ใช้วิธีปรับปรุงบริการหลังการขายให้มีความทั่วถึง จนเริ่มได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากขึ้น
คาตายามาพบว่า สภาพถนนในสหรัฐอเมริกามีถนนฟรีเวย์และถนนโล่งเป็นส่วนมาก รถญี่ปุ่นทั่วไปในขณะนั้นไม่ได้ออกแบบมาให้วิ่งในถนนลักษณะดังกล่าว แรงม้าจึงน้อย การเร่งแซงยาก และเมื่อวิ่งทางไกลจะพบปัญหาเบรกร้อน จึงมีความพยายามคิดค้นรถสปอร์ตที่จะมีสมรรถนะสูง เบรกที่ทนทาน สนองตอบรสนิยมและถนนดังกล่าวได้ และราคาถูก (รถสปอร์ตของ Big3 มีจุดอ่อนที่ราคาแพง) จึงคิดค้นออกมา โดยในขณะคิดค้น ได้ตั้งชื่อโครงการว่า Project Z ซึ่งมาจากธง Z ที่กองทัพเรือใช้ในสงครามนิจิโระ (สงครามกับรัสเซีย พ.ศ. 2447) ธง Z หมายความว่า "การโจมตีครั้งสุดท้าย ไม่มีครั้งหลังอีกแล้ว" หรือ ต้องชนะให้ได้ในครั้งนี้
ทีมคิดค้นใช้เวลาพัฒนา 4 ปี นิสสัน Z รุ่นแรกก็เปิดตัวใน พ.ศ. 2512 ชื่อ แฟร์เลดี้ แซด ใช้เป็นชื่อในการทำตลาดเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ทั้งแต่รุ่นแรกถึงปัจจุบัน ส่วนนอกประเทศญี่ปุ่น นิสสันจะไม่ใช้ชื่อแฟร์เลดี้ แซดในการขาย จะใช้ชื่อเป็นขนาดลูกสูบ (หน่วยเป็น ซีซี หารด้วย 10) แล้วตามด้วย Z หรือ ZX เช่น นิสสัน 240Z 260Z เป็นต้น (แต่ก็ยังมีการเรียกกันเองว่า แฟร์เลดี้ แซด นอกประเทศญี่ปุ่น)
ปัจจุบัน นิสสัน Z มียอดขายรวมตั้งแต่แรก 2 ล้านคัน ถือเป็นรถสปอร์ตที่ยอดขายสูงที่สุดในโลก (ไม่นับ Pony Car กับ Muscle Car ซึ่งเป็นรถที่มีตัวรถแบบกึ่งสปอร์ต แต่เครื่องยนต์แรงไม่น้อยกว่ารถสปอร์ต ถ้าพิจารณาเผินๆ แล้วจะค่อนข้างคล้ายรถสปอร์ต)
Cr. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99_%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%89_%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B8%94
เฟอร์รารี่ แคลิฟอร์เนีย
เฟอร์รารี่ แคลิฟอร์เนีย (อังกฤษ: Ferrari California) เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราสมรรถนะสูง เครื่องยนต์หน้าลำ ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติอิตาลี เฟอร์รารี่ ในรูปแบบของรถ 2+2 ที่นั่ง 2 ประตู ลักษณะเป็น คูเป้ คาบริโอเล็ต (Coupé cabriolet) หรือรถเปิดประทุนหลังคาแข็งแบบฮาร์ดท็อป แคลิฟอร์เนีย ได้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4.3 ลิตร (260 cu in) V8 มีกำลัง 460 PS (338 kW; 454 แรงม้า)[1] "แคลิฟอเนีย" คือรถที่มาปลุกตำนาน เฟอร์รารี่ 250 จีที (Ferrari 250 GT) ซึ่งเป็นรถที่ผลิตในช่วงศตวรรษที่ 1950 ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่ง 250 จีที ถือเป็นรถที่สร้างชื่อเสียงให้กับเฟอร์รารี่ไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรุ่น เฟอร์รารี่ 250 จีทีโอ ซึ่งถือเป็นตำนานบนหน้าหนึ่งของเฟอร์รารี่ ด้วยการจัดอันดับ จากทุกนิตยสารเกี่ยวกับรถยนต์ ให้เป็น "รถเฟอร์รารี่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด"
เฟอร์รารี่ แคลิฟอร์เนีย ได้เปิดตัวครั้งแรกที่งาน ปารีส มอเตอร์ โชว์ ปี 2008 โดยก่อนหน้านี้ก็ได้มีข่าวลือมาว่า ตัวถังรถ ทีแรกออกแบบมาเพื่อให้กับตัวใหม่ของมาเซราติ แต่สุดท้ายก็ได้ถูกขายแบบให้กับเฟอร์รารี่ จนกลายมาเป็น แคลิฟอร์เนีย คันนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ทางเฟอร์รารี่ ก็ออกมาปฏิเสธข่างลือนี้[2]
แคลิฟอร์เนีย คือรุ่นแรกที่ได้ผลิตที่โรงงานแห่งใหม่ ในมาราเนลโล (Maranello) ซึ่งสามารถลิต แคลิฟอร์เนีย ได้ประมาณ 27 คันต่อวัน หรือ ประมาณ 6,000 คันต่อเดือน[3][4]
Cr. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88_%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2
แอสตันมาร์ติน แวนควิซ
แอสตันมาร์ติน แวนควิซ (อังกฤษ: Aston Martin Vanquish) เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราสมรรถนะสูง ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติอังกฤษ แอสตันมาร์ติน เปิดตัวครั้งแรกในปี 2001 เป็นหนึ่งในรุ่นที่มารับช่วงต่อจากวิเรจ ( Virage ) โฉมแรกของแวนควิซ ได้รับการออกแบบโดย เอียน แคลลุม ( Ian Callum ) รถได้เปิดเผยสู่สาธารณะชนที่งานเจนีวา มอเตอร์ โชว์ ปี 2001 และได้ยุติการผลิตในปี 2005 ส่วนแวนควิซ เอส ( Vanquish S ) ซึ่งมีกำลังเครื่องยนต์และสมรรถนะที่สูงกว่า ได้เปิดตัวในปี 2004 จนต่อมาในปี 2007 แวนควิซ เอส ก็ได้ยุติการผลิตทั้งหมด และถูกแทนที่ด้วยรุ่น ดีบีเอส วี12 ในปี 2012 แวนควิซ ในโฉมที่ 2 ก็ได้เปิดตัวอีกครั้ง หลังจากยุติการผลิตไปนานถึง 5 ปี จึงทำให้ แวนควิซ ในโฉมที่ 2 ถูกสร้างมาเพื่อแทนที่ ดีบีเอส วี12 ด้วย
แอสตันมาร์ติน แวนควิซ ในโฉมที่ 1 มีชื่อเสียงจากการที่เป็นรถของเจมส์บอนด์ ในภาค ดาย อนัทเธอร์ เดย์[1]
Cr. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99_%E0%B9%81%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8B
ปอร์เช่ บ็อกซเตอร์
ปอร์เช่ บ็อกซเตอร์ (อังกฤษ: Porsche Boxster) เป็นรถยนต์นั่งสมรรถนะสูง เครื่องยนตร์กลางลำท้าย ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง (RMR) 2 ประตู 2 ที่นั่ง ขนาด 6 สูบ (B6) ผลิตโดยบริษัท ปอร์เช่ นับว่าเป็นชื่อรุ่นโรสเตอร์รุ่นที่สองของปอร์เช่ ตั้งแต่ ปอร์เช่ 550 เป็นต้นมา และเป็นรุ่นเดียวของปอร์เช่ ที่ออกแบบมาเพื่อเปิดประทุนโดยเฉพาะ
โมเดลแรกของ ปอร์เช่ บ็อกซเตอร์ (ใช้รหัสว่า 986) ได้นำมาจำหน่าย ในปี 1996 ตั้งแต่โมเดลแรกจนถึงปัจจุบัน ปอร์เช่ บ็อกซเตอร์ มีโมเดลทั้งหมด 3 โมเดล ได้แก่ 986 987 และ 981
Cr. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%88_%E0%B8%9A%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C
เฟอร์รารี่ 458 อิตาเลีย
เฟอร์รารี่ 458 อิตาเลีย (อิตาลี: Ferrari 458 Italia) เป็นรถยนต์นั่งสมรรถนะสูงเครื่องยนต์กลางลำ ผลิตโดย บริษัทรถยนต์สัญชาติอิตาลี เฟอร์รารี่ ตั้งแต่ปี 2009-ปัจจุบัน 458 อิตาลี เป็นรุ่นที่มาแทน เฟอร์รารี่ เอฟ430ซึ่งได้ยกเลิกการผลิตไปในปี 2009 458 อิตาเลีย ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่งานแฟรงเฟิร์ต มอเตอร์ โชว์ ปี 2009
458 อิตาเลีย ได้รับรางวัล "รถแห่งปี ประจำปี 2009" (Car of the Year 2009) และรางวัล "ซูเปอร์คาร์แห่งปี" (Supercar of the Year) สำหรับ 458 สไปเดอร์ ก็ได้รับรางวัล "รถเปิดประทุนแห่งปี" (Cabrio of the Year 2011)[1] จากนิตยสารท็อปเกียร์ นอกจากนี้ 458 สไปเดอร์ ยังได้รับรางวัลจากนิตยสาร ออโต ไซตุง ว่า "เป็นรถเปิดประทุนที่ดีที่สุด" และนิตยสารมอเตอร์ เทรนด์ ก็มอบรางวัลให้แก่ 458 อิตาเลีย ในฐานะ "รถที่ขับขี่ดีที่สุด" ในปี 2011[2]
Cr. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88_458_%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2
ลัมโบร์กีนี มูร์เซียลาโก
ลัมโบร์กีนี มูร์เซียลาโก (อิตาลี: Lamborghini Murciélago) เป็นรถสปอร์ต 2 ประตู - 2 ที่นั่ง ผลิตโดยบริษัท ลัมโบร์กีนีจากอิตาลี ในช่วงปี 2001-2010 [1]รุ่นต่อจากรุ่นเดียโบล (Diablo) ซึ่งไม่ทำต่อแล้ว มูร์เซียลาโก ได้เปิดตัวคันแรกขึ้น ในรูปของ คูเป้ ในปี 2001 ซึ่งถือเป็นแบบใหม่ล่าสุดในรอบ 11 ปีของ บริษัทลัมโบร์กีนี และเช่นกัน มูร์เซียลาโก ถือเป็นรุ่นที่เกิดขึ้นภายใต้แบรนด์การค้าใหม่ของเอาดี้ เอจี ในเครือโฟล์คสวาเกนกรุ๊ป ของเยอรมัน โดยบริษัทลัมโบร์กีนี เป็นบริษัทลูกอีกที
โฉมโรสเตอร์ ได้เปิดตัวในปี 2004 โดยใช้ชื่อว่า LP 640 coupé and roadster และจำกัดจำนวน limited edition LP 650–4 Roadster[2] โฉมสุดท้ายของมูร์เซียลาโก คือ LP 670–4 SuperVeloce (SV) ซึ่งเป็นโฉมแต่งภายนอก ภายในพิเศษ และไม่ใช่โรสเตอร์แบบเปิดประทุนได้ แต่ถือเป็นรุ่นจำกัดเพียง 350 คันทั่วโลก จึงถือเป็นโฉมที่ราคาสูงที่สุดของทุกโฉมในรุ่นมูร์เซียลาโก
ภายในรถ ใช้เครื่องยนต์ วี12 (V12) ซึ่งถือเป็นการนำเครื่องยนตร์ V12 ของลัมโบร์กีนี ชนิด 6.5 ลิตรมาใช้ เป็นครั้งสุดท้าย ตัวเครื่องยนต์วางไว้ แบบ มิด-เอนจินท์ (Mid-engine) ขับเคลื่อนทุกล้อ (4ล้อ)(All whell drive) ประตูประเภท ลัมโบร์ดอร์ ได้รับการออกแบบโดย นักออกแบบรถชาวเบลเยียม ลุก ดังเคอร์เวิร์ค (Luc Donckerwolke)โดยรวมแล้ว มูร์เซียลาโก จากปี 2001 จนถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2010 ได้มีการผลิตรถรุ่นนี้ออกมาทั้งหมดแล้ว 4,099 คัน นับเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย จนมีการนำไปพัฒนาต่อเป็นรุ่นต่อไป คือ ลัมโบร์กีนี อะเวนตาโดร์ ซึ่งได้เปิดตัวในงานเจนีวามอเตอร์โชว์ ปี 2011[3]
Cr. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B5_%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%81
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์ แม็คลาเรน
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์ แม็คลาเรน (อังกฤษ: Mercedes-Benz SLR McLaren) หรือบางครั้งรู้จักกันในชื่อ "เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์-คลาส" (อังกฤษ: Mercedes-Benz SLR-Class) เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราสมรรถนะสูง ( Luxury grand tourer ) ผลิตขึ้นในปี 2003-2010 โดยมีโรงงานอยู่ที่ พอร์ตสมัท ประเทศอังกฤษ เอสแอลอาร์ เป็นรถที่ได้ร่วมกันพัฒนาขึ้น ระหว่าง บริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ และ แม็คลาเรน บริษัทผลิตซูเปอร์คาร์ของอังกฤษ โดยบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ครองหุ้นส่วน 40% ของแม็กคาเรน
"เอสแอลอาร์" ย่อมาจาก "Sport Leicht Rennsport" (สปอร์ต เบา แข่ง) เมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า จะผลิตเอสแอลอาร์ จำนวน 3,500 คันภายใน 7 ปี หรือปีละ 500 คันเท่านั้น[1]
Cr. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AA-%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B9%8C_%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C_%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99
นิสสัน จีที-อาร์
นิสสัน จีที-อาร์ (อังกฤษ:Nissan GT-R)[1] หรือรู้จักกันในชื่อทางเทคนิคว่า R35 เป็นรถสปอร์ต 2 ประตู 4 ที่นั่ง ผลิต โดย นิสสันเปิดตัวในญี่ปุ่น วันที่ 6 ธันวาคม ปี 2007 ที่สหรัฐ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 2008 ส่วนประเทศอื่นๆ ในเดือน มีนาคม ปี 2009 ได้รับการออกแบบโดย ชิโร นากามูระ (Shiro Nakamura)
นิสสัน จีที-อาร์ จึงอาจกล่าวได้ว่า เป็นรถซูเปอร์คาร์ ไม่กี่คันที่มาจาก ประเทศญี่ปุ่นและสามารถเทียบชั้นได้กับ ซูเปอร์คาร์จากยี่ห้อดังในยุโรปเช่น เฟอร์รารี่,ลัมโบร์กีนี,ปอร์เช่ เป็นต้น จึงทำให้ภาพพจน์รถยนต์ของญี่ปุ่นดูสูงขึ้นมาก เพราะนิสสันจีที-อาร์ เป็นรถคันเดียวของญี่ปุ่นที่สามารถเป็นรถ คูเป้ ที่เร็วที่สุดของโลกได้ เมื่อเทียบกับแต่ก่อนที่ รถจากญี่ปุ่นขึ้นชื่อเป็นรถราคาถูก ด้อยคุณภาพ ไม่สามารถเทียบชั้นได้กับ รถในสหรัฐ และ รถในยุโรป [2]นิสสัน จีที-อาร์ ได้รับการบันทึกในกินเนสบุ๊ค ปี 2011 ว่า เป็นรถ 4 ที่นั่งที่มีอัตราเร่งเร็วที่สุดในโลก (Fastest 0–60 mph acceleration by a four seater production car) แต่ถึงอย่างไรก็ดีปัจจุบันสถิตินี้ถูกลบไปแล้ว โดย Ferrari F12 Berlinetta เข้ามาครองอันดับ 1 แทน
Cr. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99_%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C
เฟอร์รารี่ เอฟเอ็กซ์เอ็กซ์
เฟอร์รารี่ เอฟเอ็กซ์เอ็กซ์ (อังกฤษ: Ferrari FXX) เป็นรถยนต์นั่งสมรรถนะสูงมากชนิดรถต้นแบบ และรถแข่งประเภทแทร็ค เดย์ (รถแข่ง ที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อแข่งอย่างเป็นทางการ) ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติอิตาลี เฟอร์รารี่ ที่โรงงานในเมืองมาราเนลโล ประเทศอิตาลี ระหว่างปี 2005-2007 เอฟเอ็กซ์เอ็กซ์ ได้นำฐานมาจาก เฟอร์รารี่ เอ็นโซ และเป็นรุ่นที่พัฒนามาพร้อมกันกับ มาร์เซราติ เอ็มซี12 ที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์ V12 ร่วมกัน เอฟเอ็กซ์เอ็กซ์ ได้มีการปรับแต่งกำลังและสมรรถนะมากกว่าเดิมขึ้น รวมถึงรูปลักษณ์ภายนอก จนคลาสของคันนี้ ดูออกไปเป็นแนว รถแข่ง มากขึ้น จากเดิมที่เอ็นโซ อยู่ในคลาสของรถสปอร์ต
เฟอร์รารี่ เอฟเอ็กซ์เอ็กซ์ เป็นรุ่นจำกัดเพียง 30 คันเท่านั้น แต่ละคันมีราคาสูงถึง 1.5 ล้านยูโร หรือ ประมาณ 2.1 ล้านยูเอสดอลลาร์ ซึ่งจะจำหน่ายเฉพาะลูกค้าพิเศษที่เฟอร์รารี่เลือกให้เท่านั้น ซึ่งปัจจุบันรถทั้ง 29 ก็ได้ถูกจำหน่ายหมดไปแล้ว (อีก 1 คัน ถูกเก็บรักษาไว้ที่เฟอร์รารี่) เฟอร์รารี่ เอฟเอ็กซ์เอ็กซ์ เป็นรถที่ไม่สามารถขับบนถนนทั่วไปได้ แต่สามารถลงสนามแข่งตามที่ทางเฟอร์รารี่รับรองไว้ให้เท่านั้น[1]
Cr. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88_%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B9%8C
บูกัตติ เวย์รอน
บูกัตติ เวย์รอน (อังกฤษ: Bugatti Veyron) เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราสมรรถนะสูงเครื่องยนต์กลางลำ ( Mid-engined grand touring car ) ผลิตโดย บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศส บูกัตติ[1] ซึ่งเป็นบริษัทในเครือโฟล์คสวาเก็น เป็นรถต้นแบบที่ออกแบบขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2542 ใช้ชื่อว่า EB 18/4 "Veyron" เปิดตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการเมื่อ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ที่ งานโตเกียวมอเตอร์โชว์ ออกแบบโดย นักออกแบบรถยนต์ชาวสโลวาเกีย โจเซฟ แคแบน ( Jozef Kaban )[2]
บูกัตติ เวย์รอน ได้รับการบันทึกลงกินเนสบุ๊คว่าเป็นรถที่เร็วที่สุดในโลก ด้วยสถิติความเร็วสูงสุด 431.072 กิโลเมตร/ชั่วโมง ( ในรุ่น Super Sport ) ซึ่งเร็วกว่า เอสซีซีเอโร่ (SCC AERO) ที่ทำได้ 412.29 กิโลเมตร/ชั่วโมง (สำหรับ เวย์รอนรุ่นแรกนั้นสร้างความเร็วสูงสุดได้ที่ 408.47 กิโลเมตร/ชั่วโมง)[3] และวันที่ 13 เมษายน ปี 2013 บูกัตติ เวย์รอน ก็ได้บันทึกสถิติใหม่ ด้วยความเร็วสูงที่สุดเท่าที่โรสเตอร์เคยมีมา ด้วยรุ่น เวย์รอน แกรนด์ สปอร์ต วิเทสส์ ( Veyron Grand Sport Vitesse ) ซึ่งสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 408.84 km/h[4]
บูกัตติ เวย์รอน แต่ละคันมีราคาสูงถึง 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 165 ล้านบาท เมื่อนำเข้าไทย จึงทำให้บูกัตติ เวย์รอน เคยได้รับการจัดอันดับเป็นรถยนต์ที่มีราคาสูงที่สุดในโลก ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงติดอันดับ 1 ใน 10 อยู่อย่างเสมอ ถึงแม้จะตกจากอันดับ 1 ไปก็ตาม
บูกัตติ เวย์รอน ได้รับรางวัล "รถแห่งทศวรรษ" ( Car of the Decade ) ประจำช่วงปี 2000–2009 จาก รายการท็อปเกียร์ ของบีบีซี และยังได้รับรางวัลจากท็อปเกียร์ ในปี 2005 ว่า "เป็นรถที่ขับขี่ดีที่สุดในทุกๆปี" ( Best Car Driven All Year )
== ลักษณะทั่วไปของรถ แนวคิดมาจากท่าน หลุยส์ ซัวเนส วิศวะกรหนุ่มไฟแรงเพื่อที่จะมาสู้กับรถ super car หลายๆค่ายตัวรถออกแบบให้ใช้สองสี (Two Tone) ตัวถังโมโนค็อกทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ซับเฟรมทำด้วยอะลูมิเนียม เปลือกตัวถังทำจากอะลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์ ใช้เครื่องยนต์ W16 (16 สูบ) ทำด้วยอะลูมิเนียมอัลลอย เครื่องยนต์เป็นเครื่อง V8 90 องศา 2 เครื่องวางขนานกัน กำลัง 1,001 แรงม้า หรือ 736 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 128.0 กก.-ม ระบบเกียร์ 7 สปีด เปลี่ยนเกียร์แบบเรียงลำดับ[5]อัตราเร่ง 0-100 ใช้เวลาเพียงแค่ 2.2 วินาทีเท่านั้น
Cr.http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4_%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%99
ลาร์เฟอร์รารี่
ลาร์เฟอร์รารี่ (อังกฤษ: LaFerrari) หรือในสำเนียงอิตาลี เรียกว่า "ลาร์แฟรารี่" หรือรู้จักกันดีในรหัส "F70" เป็นรถยนต์นั่งไฮบริดสมรรถนะสูง (Hybrid sports car) จำกัดจำนวน ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติอิตาลี เฟอร์รารี่[1] ได้รับการออกแบบโดย นักออกแบบรถยนต์สัญชาติอิตาลี Flavio Manzoni เจ้าของรางวัล "European Automotive Design Award"[2] โดยที่ตอนออกแบบ ลาร์เฟอร์รารี่ได้ใช้ชื่อโปรเจกต์ว่า F150 รถได้เปิดตัวครั้งแรกในงาน เจนีวา ออโต้ โชว์ ปี 2013 เป็นการแทนที่รุ่น เอ็นโซ และ เอฟเอ็กซ์เอ็กซ์ ซึ่งได้ยกเลิกการผลิตไปใน 6 ปีที่แล้ว
เฟอร์รารี่ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ลาร์เฟอร์รารี่สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 350 กม./ชม. (220 ไมล์/ชม.) โดยที่อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. (62 ไมล์/ชม.) สามารถทำได้ในเวลาเพียง 3 วินาที, 200 กม./ชม. (120 ไมล์/ชม.) ใช้เวลาเพียง 7 วินาที และ เมื่อแตะไปถึง 300 กม./ชม. (190 ไมล์/ชม.) ภายในเวลาเพียง 15 วินาที[3] ที่สนามฟีโอราโน ลาร์เฟอร์รารี่ ก็ได้ลงทดสอบความเร็ว ผลปรากฏว่า ลาร์เฟอร์รารี่สามารถทำเวลาได้เพียง 1 นาที กับอีก 20 วินาที ทำให้ลาเฟอร์รารี่ เป็นรถบนถนน (Road-legal car) ที่เร็วที่สุดของเฟอร์รารี่ เท่าที่เฟอร์รารี่เคยผลิตมา[4]
ลาร์เฟอร์รารี่ ใช้เครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 6.3 ลิตร (6262 ซีซี) มีกำลัง 800 PS (588 kW; 789 bhp) ที่ 9,000 rpm แรงบิดสูงสุดได้ที่ 700 N·m (516 lb·ft) ที่ 6,750 rpm ขับเคลื่อนด้วย 2 ล้อหลัง ใช้เกียร์กึ่งอัตโนมัติ 7 จังหวะ ในระบบคลัทช์คู่ (Dual-clutch) ที่สำคัญ ลาร์เฟอร์รารี่ เป็นรถคันแรกของเฟอร์รารี่ที่ใช้เครื่องยนต์ไฮบริด ทำให้ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เพียง 330 กรัม/กม. ลาร์เฟอร์รารี่ จะผลิตมาเพียง 499 คันเท่านั้น และแต่ละคันมีราคาสูงถึง 1 ล้านยูโร และผู้ซื้อจะต้องเป็นเจ้าของเฟอร์รารี่อยู่แล้วอย่างน้อย 4 คัน [5]
Cr. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88
แอสตันมาร์ติน ดีบี9
แอสตันมาร์ติน ดีบี9 (อังกฤษ: Aston Martin DB9) เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราสมรรถนะสูง ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติอังกฤษ แอสตันมาร์ติน รถได้เปิดตัวครั้งแรกที่งาน แฟรงค์เฟิร์ต ออโต้ โชว์ ในปี 2003[1][2] มาพร้อมกับ 2 รูปแบบให้เลือก คือแบบคูเป้ และแบบโรสเตอร์เปิดประทุน แอสตันมาร์ติน ดีบี9 ออกแบบมาเพื่อแทนที่ แอสตันมาร์ติน ดีบี7 ซึ่งในปัจจุบัน ดีบี9 ก็ยังคงใช้โฉมแรกนี้อยู่ นับตั้งแต่การผลิตในปี 2004 จนถึงปัจจุบัน โดยรถทุกคันผลิตที่ โรงงานแอสตันมาร์ติน เกย์ดอน ( Aston Martin's Gaydon facility )
ดีบี9 ได้รับการออกแบบโดย เอียน แคลลุม (Ian Callum) และ เฮนริก ฟิสเกอร์ (Henrik Fisker) ผู้ก่อตั้งบริษัท บริษัทรถยนต์ฟิสเกอร์ ตัวถังส่วนใหญ่ของ ดีบี9 ทำมาจากอะลูมิเนียม จัดเป็นแพลตฟอร์ม VH รุ่นที่ 1 ของแอสตันมาร์ติน เช่นเดียวกับ แอสตัน มาร์ติน ดีบีเอส วี12 สำหรับตัวเครื่องยนต์ มีขนาด 6.0 ลิตร V12 ซึ่งนำมาจาก แอสตันมาร์ติน แวนควิซ โดยเมื่อเร็วๆนี้ แอสตันมาร์ติน ดีบี9 ก็ได้ทำสถิติความเร็วสูงสุดได้ที่ 295 กม./ชม. (183 ไมล์/ชม.) และ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 4.1 วินาที
ดีบี9 ได้รับคำชมจากหลายแหล่ง อย่างเช่น "คำวิจารณ์จากนักวิจารณ์รถยนต์ ที่ว่า ถึงแม้รถจะมีเครื่องยนต์และระบบแฮนลิง ที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบขับขี่ ขับเอาประสบการณ์ และเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการออกแบบภายใน ภายนอกของ ดีบี9 คันนี้" นอกจากนี้ยังมีคำชมจาก ท็อปเกียร์, เว็บไซด์เอ็ดมันส์, ออโต้วีคส์, นิตยสารออโต้โมบิล เป็นต้น
คำว่า "DB" นั้นย่อมาจาก ชื่อและนามสกุลของอดีตเจ้าของ แอสตัน มาร์ติน ชื่อ เดวิด บราวน์ ( David Brown )
Cr. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99_%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B59
ฟอร์ด มัสแตง
ฟอร์ด มัสแตง (Ford Mustang) เป็นรถมัสเซิล ( ชื่อเรียกรถสปอร์ตของอเมริกัน ) ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติอเมริกัน ฟอร์ด รถได้รับการเปิดตัวครั้งแรกที่วันที่ 17 เมษายน 1964 [1]ปัจจุบันฟอร์ดมัสแตง ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในรถที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของฟอร์ด
ฟอร์ด มัสแตง เป็นรถที่ได้รับความนิยมพอสมควรในแถบอเมริกาและยุโรปบางส่วน ในปีเดียวกับการเปิดตัวครั้งแรก รถมัสแตง ถูกนำไปใช้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง จอมมฤตยู 007 มัสแตงมีจุดเด่นในความที่เป็นรถที่ ฝาครอบเครื่องยนต์ด้านหน้าจะยาวเมื่อเทียบสัดส่วนกับรถทั่วไป
มัสแตง มียอดขายเฉลี่ย 1 ล้านคัน ทุกๆ 18 เดือน (สูสีกับ โตโยต้า โคโรลล่า หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ "อัลติส") จากอดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งการที่รถสปอร์ตที่มีราคาแพงกว่ารถเก๋งเล็กๆลิบลิ่ว กลับมียอดขายใกล้เคียงกับรถเก๋งขนาดเล็กราคาถูกยอดนิยมของญี่ปุ่น แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความนิยมในมัสแตง
มัสแตง จัดเป็นรถประเภท Pony Car คือ เป็นได้ทั้งรถสปอร์ตและรถCompact ทั่วไป ซึ่งเป็นรถที่เอนกประสงค์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบรถสปอร์ต เป็นรถที่เล็ก แต่แรงกว่ารถเก๋งทั่วไป
Cr. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94_%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%87
ปอร์เช่ 911
ปอร์เช่ 911 (อังกฤษ: Porsche 911) หรือบางครั้งเรียกว่า "พอร์ช 911" เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราสมรรถนะสูงเครื่องยนต์หน้าลำ ชนิด 2 ประตู 4 ที่นั่ง ขับเคลื่อน 4 ล้อ 6 สูบผลิตโดย ปอร์เช่ เริ่มผลิตตั้งแต่ ปี 1963-ปัจจุบัน ซึ่งเป็นต้นแบบของหลายต่อหลายรุ่นของปอร์เช่ อาทิเช่น "ปอร์เช่ บ็อกซเตอร์" , "ปอร์เช่ เคย์แมน" และรวมถึง "ปอร์เช่ คาร์เรร่า จีที" เป็นต้น จุดเด่นของรุ่นนี้ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์กว่ายี่ห้ออื่นๆ นั่นคือ ตั้งแต่โฉมแรกจนถึงปัจจุบัน จะมีตากลมคู่ และการออกแบบท้ายนับจากหลังคารถมาจนถึงท้ายรถในลักษณะโค้งลง ซึ่งถือเป็นจุดเด่นสำคัญของยี่ห้อนี้ ที่เน้นออกแบบโดยยึดเอกลักษณ์นี้เป็นหลักเสมอมา จึงเป็นสาเหตุที่บางครั้งเรียก ปอร์เช่ 911 ว่า "รถตากบ" (Frog's eyes)[1]
ปอร์เช่ 911 ยังคงได้รับการจัดอันดับเป็นคูเป้-โรสเตอร์ แถวหน้าของโลก แม้แต่ ยี่ห้อ รูฟ (Ruf) ก็นำตัวถังจากรุ่นนี้ มาเสริมแต่งเครื่องอีกที เช่น [2]Ruf RGT , Ruf 997 R Kompressor , Ruf 997 RTurbo , Ruf Rt 12
ในปี 1999 โพลต์สำหรับรางวัล "รถแห่งศตวรรษ(Car of the Century)" ได้โหวตให้ ปอร์เช่ 911 เป็นรถแห่งศตวรรษ ในอันดับที่ 5 [3]นอกจากนี้ ในปี 2004 นิตยสาร Sports Car International ยังได้จัดอันดับให้ ปอร์เช่ 911 อยู่อันดับ 3 รถสปอร์ตที่ดีที่สุดในปี 1960 และ นิตยสาร Automobile Magazine โหวตให้อยู่อันดับ 2 จาก 100 คัน ในหัวข้อ "รถที่เด็ดที่สุด"
ปัจจุบัน ปอร์เช่ 911 ได้กลายเป็นรุ่นที่เก่าที่สุดของค่ายปอร์เช่ ที่ยังดำเนินสายการผลิตอยู่ และเป็นหนึ่งในชื่อรุ่นประเภทคูเป้ที่เก่าที่สุดในโลกอีกด้วย โดยในปี 2013 ค่ายปอร์เช่ก็ได้ ผลิตโฉมพิเศษของ 911 เพื่อเฉลิมฉลอง 50 ปี ปอร์เช่ 911 ใช้ชื่อว่า "Porsche 911 50th Anniversary" ตลอดสายการผลิตปอร์เช่ 911 เป็นต้นมา ได้มีการจำหน่ายไปแล้วกว่า 820,000 คัน[4]
Cr. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%88_911
ดอดจ์ ไวเปอร์
ดอดจ์ ไวเปอร์ (อังกฤษ: Dodge Viper) เป็นรถยนต์นั่งสมรรถนะสูง ผลิตโดยบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกัน นามว่า ดอดจ์ (Dodge) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ ไครส์เลอร์กรุ๊ป เริ่มผลิตครั้งแรกใน ค.ศ. 1992 และปิดไลน์การผลิตลงในปี ค.ศ. 2010 เนื่องจากปัญหาทางการเงิน[1][2] แต่ถึงอย่างก็ตาม ในปี 2013 ไวเปอร์ ก็ได้ออกสู่สายตาชาวโลกอีกครั้ง ในโฉมที่ 5 หลังจากเหินหายไป 3 ปีนับจากปีที่ยุติการผลิต
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ดอดจ์ ไวเปอร์ เป็นรถธง ของบริษัทดอดจ์มาโดยตลอด สร้างชื่อเสียงมหาศาลให้บริษัท ด้วยความที่เป็นรถสปอร์ตเครื่องยนต์ วี10 (V10) ทำให้เป็นรถที่มีสมรรถนะสูงมาก สามารถใช้เป็นรถแข่งได้ดี จนมีการนำดอดจ์ ไวเปอร์ ไปออกรายการโทรทัศน์, ไปออกแบบเป็นรถแข่งในเกม, ไปถ่ายทำภาพยนตร์ และมิวสิกวีดีโอจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ดอดจ์ ไวเปอร์ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการรถ โดยเฉพาะวงการรถสปอร์ต และวงการรถแข่ง
ใน ค.ศ. 1989 ในการประชุมใหญ่ของบริษัทในเครือไครส์เลอร์กรุ๊ปทั้งหมด โรเบิร์ต ลุตซ์ (Robert Lutz) ประธานบริษัทไครส์เลอร์กรุ๊ปในขณะนั้น ได้ออกความคิดเห็นในที่ประชุมว่า บริษัทในเครือไครส์เลอร์ น่าจะผลิตรถสปอร์ตรุ่นใหม่ขึ้น ดังนั้นจึงมีการกลับไปออกแบบรถสปอร์ตรุ่นใหม่ขึ้นมา เมื่อออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงมีการปั้นรูปปั้นรถจำลองขึ้นมาจากดินเหนียว แล้วนำเสนอให้โรเบิร์ตดู เมื่อโรเบิร์ตดูรูปปั้นดินเหนียว ก็เห็นทีท่าว่าน่าจะสามารถทำตลาดได้ดี ดังนั้น จึงมีการตั้งทีมขึ้นมาพัฒนาอย่างจริงจัง
ทีมที่คิดค้นพัฒนารถรุ่นใหม่นี้ ประกอบด้วยวิศวกร 86 คน ชื่อว่า "Team Viper" นำโดย รอย สโจเบิร์ก (Roy Sjoberg) เริ่มการคิดค้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1989 การพัฒนาเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1990 ทดลองตรวจสอบและพัฒนาความปลอดภัยอย่างถี่ถ้วนอีก 1 ปี และเริ่มผลิตจริงใน ค.ศ. 1992 โดยตั้งชื่อรุ่นว่า ไวเปอร์ ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า อสรพิษ (อสรพิษแห่งสนามแข่ง ทำให้คู่แข่งพ่ายแพ้)
ดอดจ์ ไวเปอร์ มีวิวัฒนาการตามช่วงเวลาแบ่งได้ 5 โฉม ดังนี้
Cr. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B9%8C_%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)